ORAC Score คืออะไร
ORAC Score หรือคะแนนโอแรค ย่อมาจาก Oxygen Radical Absorbance Capacity เป็นคะแนนที่ได้จากการทดลองหาค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหารจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กรรมวิธี และกระบวนการในการตรวจหาค่า ORAC Score ของอาหารแต่ละชนิดให้เป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ โดยสถาบันที่มีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับระดับโลกว่าเป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบสารต้านอนุมูลอิสระ จนได้รับสิทธิบัตรในการตรวจสอบค่า ORAC Score คือ Brunswick Laboratories ซึ่งค่าที่ได้สามารถเป็นบรรทัดฐานในการประเมินประสิทธิภาพของอาหารแต่ละชนิดที่มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
อาหารที่มีค่า ORAC Score สูง แสดงว่ามีประสิทธิภาพการยับยั้งอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น
โดยคนเราต้องการผักและผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระทุกวัน ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ลูกพรุน ลูกพรัม บลอกโคลี่ องุ่นแดง จะมีค่า ORAC Score สูง ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่น้อยที่สุดที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ คือ 3,500 – 6,000 หน่วย ORAC Score แต่เป็นค่าที่ไม่สามารถปกป้องร่างกายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ หากต้องการให้มีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ ต้องสูงกว่านี้มากและต้องได้รับทุกวัน
การทำความเข้าใจกับค่า ORAC Score จะช่วยให้ไม่ถูกหลอกลวงให้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพอย่าง แท้จริง
อนุมูลอิสระ (Free radical) คือ ตัวการทำลายความสมดุลของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ทำให้เซลล์ต่างๆเสื่อมสภาพ แม้กระทั่ง DNA หรือสารพันธุกรรม ล้วนแล้วแต่ถูกโจมตีโดยอนุมูลอิสระประมาณวันละ 10,000 ครั้ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรงต่อสุขภาพ โดยเซลล์ที่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองก่อนที่จะมีการแบ่งตัว จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายกว่า 100 ชนิดที่ไม่อาจรักษาหาย เช่น โรคเบาหวาน, โรคหลอดเลือดหัวใจ, เลนส์ตาเสื่อม, การอักเสบของข้อต่อ, เซลล์สมองถูกทำลาย ทำให้เกิดโรคพาร์คินสัน (Parkinson’s) และอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) ฯลฯ และเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งทุกชนิด
โดยกลไกของอนุมูลอิสระที่ส่งผลเสียต่อเซลล์ในร่างกายของเรา เกิดขึ้นเนื่องจากตามปกติโมเลกุลต่างๆ ล้วนแล้วแต่จะต้องมีอิเล็กครอนล้อมรอบเป็นจำนวนคู่ จึงจะสามารถคงสภาพอยู่ได้อย่างสมดุล และไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่โมเลกุลของอนุมูลอิสระจะขาดอิเล็กตรอนไป 1 ตัว จึงจะพยายามหาให้ครบคู่ โดยการไปดึงมาจากเซลล์ในร่างกาย เมื่อเซลล์ขาดความสมดุลและเกิดอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เสียเซลล์ต่อในร่างกาย ตามที่กล่าวมาข้างต้น
แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระที่สร้างปัญหาให้กับร่างกายคนเราเกิดจาก
1. ภายในร่างกาย เช่น กระบวนการหายใจ
2. สภาพแวดล้อมต่างๆได้แก่ แสงแดด รังสี UV มลพิษในอากาศ ฝุ่น ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์และความเครียด เป็นต้น
เมื่อมีตัวร้ายก็ต้องมีพระเอกที่จะคอยกำจัดอนุมูลอิสระดังกล่าว ซึ่งก็คือสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะทำหน้าที่ไปจับกับอนุมูลอิสระแล้วจ่ายอิเล็กตรอนให้กับอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดความเสถียร ยับยั้งไม่ให้ไปทำลายเซลล์ต่างๆของร่างกาย
โดยปกติแล้วร่างกายคนเรามีกลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระ คือ เอนไซม์ต่างๆในร่างกาย เพียงแต่มีในปริมาณที่จำกัด ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมจากภายนอก ซึ่งก็คือ อาหารที่ต้องรับประทานให้ครบ 5 หมู่ และเน้นการรับประทานผักและผลไม้หลากสี ในปริมาณวันละ 400 กรัม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ แต่ในปัจจุบันด้วยสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และพฤติกรรมการบริโภคของคนส่วนใหญ่ ส่งผลให้ได้รับปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทางเลือกในการดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการดูแลสุขภาพของตัวคุณเอง อย่าลืมเติมสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายของคุณให้เพียงพอในทุกๆวัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตัวคุณเอง
ปรากฏการณ์ French Paradox
เป็นเวลาเกือบทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและอเมริกัน ต้องค้างคาใจกับการหาคำตอบของประกฎการณ์ที่เรียกว่า French Paradox เมื่อพิจารณาในเชิงโภชนาการ จะพบว่าชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่นั้น ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากการรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีม นม เนย เนยแข็ง ครีม ตับห่าน ขนมอบ และชีส อาหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ในปริมาณที่สูงกว่าชาวอเมริกันถึง 3 เท่าตัว แต่กลับมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำที่สุด อีกทั้งรูปร่างของสาวฝรั่งเศสนั้นก็ยังคงผอมเพรียว โดยที่ไม่ต้องพยายามออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อรักษารูปร่าง
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว มีข้อบ่งชี้ว่า ปัจจัยหลักมีสาเหตุมาจากการบริโภคไวน์แดงของฝรั่งเศสนั่นเอง ทฤษฎีนี้ถูกเผยแพร่ทางรายการโทรทัศน์ 60 Minute’s ในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเกิดกระแสนิยมบริโภคไวน์แดงในแถบอเมริกาเหนือ และการนำเข้าไวน์แดงทั่วโลก
นักวิจัยในเดนมาร์กได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 13,000 คน และพบว่าผู้ที่ดื่มไวน์แดงวันละ 3-5 แก้ว จะลดอัตราการเสียชีวิตลงถึง 49% ทั้งนี้เชื่อกันว่าสารประกอบหลายชนิดที่พบในไวน์แดงมีประโยชน์มหาศาล ซึ่งสารประกอบเหล่านี้ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนามของ Polyphenol (โพลีฟีนอล) สารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลัง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ ในงานวิจัยหลายชนิดพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระนี้สามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลอดอาหาร ตับ กระเพาะอาหาร ปอด ตับอ่อน และผิวหนังได้
แต่ก็ปรากฏข้อโต้แย้งในเรื่องนี้เช่นกัน อันเนื่องมาจากไวน์ ก็คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่นเดียวกับสุราและเบียร์ ดังนั้นเมื่อบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ระดับไขมันในเลือกเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะโลหิตสูง เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคอ้วน และเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นอกจากนั้นแล้ว หากต้องการให้ร่างกายได้รับสารที่เป็นประโยชน์ของไวน์แดงอย่างเพียงพอ จะต้องบริโภคไวน์แดงเป็นจำนวนมาก ทำให้ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากตามไปด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคพิษสุราเรื้อรัง และตับแข็ง
ขอแนะนำทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ขอนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับดื่มไวน์แดง คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากองุ่นสกัดเข้มข้นผสมผลไม้รวมเพื่อสุขภาพเพียงวันละ 1 ออนซ์ (2 ช้อนโต๊ะ) เทียบเท่าได้กับการดื่มไวน์แดงถึง 15 ขวด ปรากฏการณ์ใหม่ที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวคุณเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
FoodMatrix™ คืออะไร
FoodMatrix™ คือ สารอาหารเชิงซ้อน ที่มีโครงสร้างเป็นแบบเดียวกับธรรมชาติ ร่างกายรู้จักและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ (นาโนเทคโนโลยี ลำหน้ากว่าปัจจุบัน 50 ปี)
FoodMatrix™ ล้ำหน้ากว่าปัจจุบัน 50 ปี
FoodMatrix™ เหนือกว่าสารอาหารทั่วไปในท้องตลาดในเรื่อง การดูดซึมได้ดีกว่า การคงอยู่ในร่างกายได้นานกว่า และการนำไปใช้ได้ดีกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรางวัลโนเบล สาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ ในปีค.ศ.1999
“ร่างกายของมนุษย์ถูกสร้างมาให้ใช้ประโยชน์จากสารอาหารเชิงซ้อน
ไม่ใช่จากสารอาหารเชิงเดี่ยว ที่จะทำให้ร่างกายของมนุษย์รู้จัก ”
จึงทำให้มีความสามารถที่จะ
• ดูดซึมได้มากกว่า
• นำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
• คงสภาพอยู่ในร่างกาย (Bioavailability) ได้นานกว่า
คำพิพากษาของศาล ตัดสินคดีเลขที่ # C 8920658 SW
08/02/1993 ที่ศาลสูงมลรัฐ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
•เป็นคดีความยิ่งใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมสารอาหาร
•ฟ้องร้องโดย บริษัท ผลิต/จำหน่าย สารอาหารสังเคราะห์เคมีเชิงเดี่ยว
คำพิพากษาตัดสิน
นำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า สารอาหารฯ เชิงเดี่ยว USP
คงสภาพอยู่ในร่างกายได้นานกว่า สารอาหารฯ เชิงเดี่ยว USP